คุณครูอ้วน (อภินทร์พร กิตติพีรพัฒน์) ได้ส่งบทความตอนต่อจากตอนที่แล้ว เรื่อง การศึกษาบำบัด (Curative Education) ทั้งสองตอนคือจบภาคแรกของบทความ ยังจะมีภาคจบตามมาอีกในไม่ช้านี้ ผมได้อ่านดูแล้วเห็นว่าเนื้อหาเป็นประโยชน์ และให้ความรู้กว้างกว่าเรื่องการศึกษาบำบัด โดยพูดถึงการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนถึง 7 ขวบ ซึ่งคงเป็นประโยชน์กับผู้สนใจอื่นๆด้วยไม่เฉพาะแต่เรื่องของเด็กพิเศษเท่านั้น เชิญอ่านได้ครับ
การศึกษาบำบัด (Curative Education)
เรียบเรียงโดย คุณครูอ้วน (อภินทร์พร กิตติรพีพัฒน์)
ในช่วงวัย 7 ขวบโดยประมาณจะเป็นวัยที่เด็กเริ่มเข้าสู่ความพร้อมที่จะเข้าเรียนในโรงเรียน แต่ว่าปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ทำให้อายุต้องลดต่ำลงไปกว่านี้ อย่างที่เราได้เห็นว่าเด็กสมัยนี้มีความพร้อมเข้าเรียนก่อนวัย 7 ขวบ เมื่อถึงช่วงวัย 14 ปี ก็เป็นช่วงที่เด็กจะเริ่มออกไปเรียนรู้จากโลกภายนอก เริ่มที่จะมีกลุ่ม มีเพื่อน มีความสนใจเฉพาะที่จะเรียนรู้ ในขณะที่เรามองเห็นว่าเด็กแรกเกิดเมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่ ก็จะแยกออกจากแม่เป็นอิสระ แต่ตามแนวคิดของมนุษยปรัชญา เราไม่ได้มองอย่างนั้น ถ้าหากว่าดูแต่ในภาคของร่างกาย จริงอยู่ที่เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่เด็กก็จะเป็นอิสระ แต่เด็กก็ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ของแม่ถึงจะดำรงชีวิตรอดอยู่ได้ เพราะฉะนั้นจริงๆก็คือเป็นการแยกแต่เพียงร่างกาย หากเราปล่อยเด็กไว้เช่นนั้นโดยไม่มีการเอาใจใส่ เด็กจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งทุกคนก็รู้และเข้าใจตรงนี้ ทางวิทยาศาสตร์ก็มีการพิสูจน์ออกมาให้เห็น ซึ่งในยุโรปไม่แน่ใจว่าเป็นอังกฤษหรือเปล่า มีการทดลองที่ค่อนข้างโหดร้ายคือมีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า 2 แห่ง สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งแรกเลี้ยงดูเด็กให้อยู่รอดด้วยปัจจัยสิ่งที่จำเป็น คืออาหาร, เสื้อผ้า, ความสะอาด เพื่อให้เด็กอยู่รอด ส่วนแห่งที่สองมีสิ่งเพิ่มเติมให้มากกว่าแห่งแรกนั่นคือ ไม่ใช่ให้เฉพาะปัจจัยที่ทำให้ชีวิตอยู่รอดเท่านั้น แต่ยังให้ความรัก ความอบอุ่น ผลที่พบก็คือว่า ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งแรกเด็กค่อยๆเสียชีวิตไปเพราะเด็กจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้โดยที่ไม่มีใครไปกอดรัดให้สัมผัสหรือให้ความรัก
เด็กแรกเกิดไม่มีความสามารถที่จะไปหาอาหารหรือทำความสะอาดตัวเอง เพราะฉะนั้นชีวิตเมื่อแรกเกิดของเด็ก จึงจำเป็นมากที่จะต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง จริงๆแล้วไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องให้การศึกษากับเด็กในช่วงวัยแรกเกิดถึง 7 ปี มันเพียงพอแล้วกับการที่จะให้เด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พร้อมและเหมาะสมและเอื้อต่อเขา เด็กเล็กๆเรียนรู้เองที่จะลุกขึ้นยืน ที่จะหยิบจับสิ่งของ เรียนรู้ที่จะพูด โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปสอน เพราะเด็กจะเลียนแบบ และเรียนรู้จากการได้เห็นและสังเกตโดยตัวเอง ที่นี้ถ้าเราอยากรู้ว่าจะสร้างสภาพแวดล้อมอย่างไรให้เอื้อต่อการสร้างพฤติกรรมที่ดีของเด็ก ให้ดูสภาพแวดล้อมที่นี่ ที่บ้านรักนี่ ก็จะเห็นว่าเพียบพร้อมด้วยสิ่งที่เอื้อต่อการพัฒนาของเด็กแล้ว ในขณะเดียวกันถ้าหากว่าเด็กอยู่แต่หน้าจอทีวีแล้วเห็นแต่ภาพการ์ตูน ภาพตัวอะไรที่ประหลาดๆ แน่นอนว่าสิ่งที่เด็กเลียนแบบมาก็คือพฤติกรรมที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นๆ ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่เราเพียงแค่ดูสนุกๆเท่านั้น แต่สำหรับเด็กแล้วมันไม่ใช่แค่สนุกอย่างเดียว แต่จะเกิดการเลียนแบบด้วยเพราะฉะนั้นในวัยแรกเกิดถึง 7 ปีสิ่งสำคัญที่สุดของเด็กก็คือ การเลียนแบบ ดังนั้นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ของครู ของพวกเราก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ให้เขาเลียนแบบได้ ในขณะเดียวกันเด็กก็ต้องการการปกป้อง ซึ่งแน่นอนว่าเราอาจจะอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถปกป้องเขาได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง เพราะฉะนั้นสถานที่ที่เด็กอยู่ต้องคำนึงเรื่องของการปกป้องให้เด็กปลอดภัย และเด็กเมื่อเกิดมาแล้วไม่ใช่มีแค่เรื่องของร่างกายอย่างเดียวแล้ว ยังมีเรื่องของกายชีวิต เรื่องอารมณ์ความรู้สึก เรื่องความตระหนักในตัวของตัวเองขึ้นมา บางทีเราอาจจะเห็นเด็กอายุสัก 2 ขวบ หรือ 3 ขวบ เริ่มจะมีจะเป็น “ฉัน” เป็น “ตัวฉัน” องค์ประกอบเหล่านี้มันมีอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่เด็กเกิดมา และในส่วนของกายชีวิตยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะแยะเลยโดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่แรกเกิดถึง 7 ปี เนื่องจากตอนแรกเกิดมานั้นโครงสร้างร่างกายยังไม่สมบูรณ์ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ส่วนของสมองหรือศีรษะ ต้องมีพัฒนาการต่อไปอีกคือยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แล้วในส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์นี้กายชีวิตต้องทำงานหนักมาก เพราะฉะนั้นในช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี ที่สมองยังไม่สมบูรณ์เต็มที่จึงยังไม่ควรไปเร่งหรือให้เด็กเรียนรู้เรื่องวิชาการเพราะว่าสมองของเขายังไม่ครบส่วน ยังไม่พร้อม เด็กอายุประมาณ 3 หรือ 4 ขวบ ยังไม่สามารถคิดอะไรที่เป็นเหตุผลตรรกะ ที่ต้องใช้เชาวน์ปัญญาหรืออะไรขนาดนั้น ถ้าหากเรายังแข็งขืนหรือไปเร่งให้เด็กเรียน เป็นการทำให้พลังที่ควรจะให้เด็กใช้ไปเพื่อการพัฒนาการเติบโตของสมองอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ กลับถูกนำไปใช้ในทางด้านใดด้านหนึ่งอย่างไม่สมส่วน เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ก็จะมีผลกระทบทำให้เด็กขาดความสมดุล หรือมีปัญหากระทบกระเทือนเพราะว่าพลังชีวิตมันต้องไปทำงานเพื่อให้สมองสมบูรณ์ขึ้นทำให้องค์ประกอบของสมองครบส่วนขึ้น แม้แต่ในทางวิทยาศาสตร์เองก็ค่อนข้างรู้สึกมหัศจรรย์กับพลังของชีวิตตรงนี้ และพลังอันนี้ก็จะสามารถเปล่งประกายฉายแสงออกมาอย่างเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 7 ขวบ
ในวัย 7 ขวบ จึงเป็นช่วงที่เด็กค่อนข้างพร้อมที่จะเป็นอิสระจากอ้อมอกของพ่อแม่แล้ว จะเห็นได้ตั้งแต่ฟัน ก็มีฟันที่แข็งแรงครบถ้วนแล้ว เพราะฉะนั้นช่วงนี้เด็กก็จะเป็นอิสระจากการปกป้อง ในขณะที่ช่วงแรกเกิดเด็กต้องการการปกป้องจากแม่หรือสิ่งแวดล้อมถึงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่พอ 7 ขวบเด็กก็จะเริ่มหลุดจากการปกป้องนั้นเป็นอิสระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะมีคำพูดเปรียบเทียบว่าช่วง 7 ขวบนี้คือการเกิดครั้งที่ 2 ตอนเกิดครั้งแรกคือการเป็นอิสระจากท้องของแม่ แยกออกมาเป็นตัวของตัวเอง ตอนนี้จึงเปรียบได้กับการเกิดครั้งที่ 2 ซึ่งการเกิดใหม่ครั้งนี้เด็กจะเริ่มออกไปปะทะสัมพันธ์กับสังคม เพราะฉะนั้นในวัยนี้เด็กก็จะมีความสามารถที่จะเขียน เรียน อ่าน เพื่อที่จะสัมพันธ์กับโลกข้างนอกได้ แต่อย่างไรก็ตามเด็กก็ยังไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะหรือตัดสินเรื่องใดได้ ดังนั้นหน้าที่ของผู้ใหญ่ก็คือ ต้องช่วยให้ข้อมูลช่วยอธิบายหรือให้ตัวอย่างกับเขา เพื่อที่เขาจะได้เกิดความรู้พอที่จะแยกแยะหรือทำความเข้าใจ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของเด็ก จะเห็นได้เลยว่ามันเชื่อมโยงและได้รับอิทธิพลมากเลยจากสภาพแวดล้อมจากพ่อแม่หรือครอบครัว แล้วต่อมาในช่วงวัยนี้ก็จะได้รับอิทธิพลจากครูด้วย ทีนี้เวลาที่เราจะเริ่มสอนให้เด็กรู้เรื่องความดี ความชั่ว หรือคนทำดีกับคนทำชั่ว มันจะต้องมีการเสนอออกมาให้เด็กรู้หรือเห็น แต่ไม่ต้องไปลงลึกมีรายละเอียดซับซ้อนในเรื่องของความไม่ดีมันไม่ดีอย่างไร หรือในความไม่ดีนั้นไม่ดีอะไร คือไม่ต้องสอนให้ซับซ้อน แต่ให้แสดงออกมาตรงๆซึ่งในวัยเจ็ดขวบ ส่วนมากเด็กจะเรียนรู้โดยการจำหรือท่อง อาจจะยังไม่สามารถเรียนรู้ด้วยการคิดออกมา และสิ่งที่สำคัญก็คือเด็กจะเรียนรู้ได้ดีจากการที่เราเข้าหาเขาด้วยความรัก เพราะฉะนั้นเขาจะเรียนรู้ได้ดีจากครูซึ่งรักเขา ซึ่งได้มอบหรือสร้างสรรค์กิจกรรมอะไรก็ตามให้เขาได้เรียนรู้หรือสัมผัสจากสิ่งที่ครูเตรียมขึ้นด้วยความรัก อีกอย่างหนึ่งก็คือ เด็กต้องการผู้ใหญ่ที่จะบอกเขาได้แต่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่สั่งการแบบนายทหารหรือนายตำรวจอะไรแบบนั้น แต่เด็กต้องการให้มีผู้ชี้นำหรือผู้ที่อยู่เหนือกว่าเขา เด็กยังต้องการคนที่คอยบอกคอยชี้นำเขาอยู่ เราจะเห็นว่าบทบาทของครูในช่วงนี้จะมีสำคัญเหมือนเป็นเจ้าชีวิต พูดอะไรเด็กก็ฟัง เด็กจะเชื่อฟังครูมาก ขึ้นอยู่กับครูจะต้องบอกถึงสิ่งที่ถูกต้องที่เป็นจริงให้แก่เด็ก
(จบภาคแรกค่ะ ต่อไปเป็นภาคสุดท้ายเรื่องชุมชนแคมป์ฮิลล์แล้วค่ะ….ครูอ้วน)
ใส่ความเห็น